แบบก่อสร้าง, Shop Drawing และ As-built Drawing คืออะไร?
- Rattee Akkarapreechalak

- 3 วันที่ผ่านมา
- ยาว 2 นาที
เอกสาร 3 ตัวนี้ต่างกันยังไงในงานก่อสร้าง
เวลาเริ่มต้นทำโครงการก่อสร้างบ้าน อาคาร โรงงาน หรือโกดังสักหนึ่งงานเรามักได้ยินคำว่า
“แบบก่อสร้าง”
“Shop drawing”
“As-built drawing”
คำถามคือ…สามตัวนี้ต่างกันยังไง? จำเป็นต้องมีครบไหม? ถ้าไม่มีอย่างใดอย่างหนึ่งจะเกิดอะไรขึ้น?
บทความนี้จะพาไล่ทีละตัวแบบง่าย ๆ ในมุมของเจ้าของงาน–ผู้รับเหมา–วิศวกรครับ
1. แบบก่อสร้าง (Construction Drawing) – “แบบแม่” ของโครงการ
แบบก่อสร้าง คือ แบบที่สถาปนิก / วิศวกรผู้ออกแบบจัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็น “แผนแม่บท” ให้ทุกฝ่ายยึดถือร่วมกัน ตั้งแต่
ขออนุญาตก่อสร้าง
คำนวณโครงสร้าง
ถอดปริมาณ ประมูลงาน
ใช้เป็นหลักในการว่าจ้างผู้รับเหมา
ลักษณะของแบบก่อสร้างทั่วไปจะมี เช่น
แบบสถาปัตย์ (แปลน รูปด้าน รูปตัด รายละเอียดประตู–หน้าต่าง)
แบบโครงสร้าง (เสา คาน พื้น ฐานราก เหล็กเสริม)
แบบระบบ (ไฟฟ้า ประปา สุขาภิบาล แอร์ ฯลฯ – แล้วแต่โครงการ)
หน้าที่หลักของแบบก่อสร้าง
เป็น “ภาพใหญ่” ของโครงการ ว่าจะสร้างอะไร ขนาดเท่าไหร่ หน้าตาแบบไหนแต่ยังไม่ลงรายละเอียดจุกจิกหน้างานทุกจุด
จะเรียกว่าเป็น “แบบระดับออกแบบ” มากกว่า “แบบระดับผลิต/ติดตั้ง” ก็ได้
2. Shop Drawing – แบบละเอียดสำหรับ “ผลิต–ติดตั้งจริง”
พอถึงขั้นตอนจะเริ่มก่อสร้างจริงแบบก่อสร้างมักยัง “หยาบเกินไป” สำหรับการผลิต–ติดตั้งบางอย่าง เช่น
งานโครงสร้างเหล็ก
งานคอนกรีตเสริมเหล็กบางจุดที่ต้องแก้ไขวิธีหน้างาน
งานระบบไฟ–ประปา–แอร์ ที่ต้องเดินหลบโครงสร้างจริง
งานผนัง ฝ้า เพดาน บิ้วท์อิน เฟอร์นิเจอร์ ฯลฯ
จึงต้องมีสิ่งที่เรียกว่า Shop Drawing หรือ “แบบสำรวจหน้างาน + แบบผลิต/ติดตั้ง”
Shop Drawing คืออะไร?
คือแบบที่ผู้รับเหมา / ผู้รับเหมาช่วง / ผู้ผลิตจัดทำขึ้นจาก “แบบก่อสร้าง + สภาพหน้างานจริง”เพื่อแสดงรายละเอียดว่า จะผลิตและติดตั้งงานนั้นจริง ๆ ยังไง
ตัวอย่างสิ่งที่มักอยู่ใน Shop Drawing
ขนาดจริงหลังวัดไซต์ (Clear dimension)
ตำแหน่งรู เจาะ ยึด น็อต แผ่นเพลท
รายละเอียดต่อชน ระดับสูงต่ำ
วิธีบากเหล็ก วิธีดัดเหล็ก วิธีจัด Layout เหล็ก
รายละเอียดการเดินท่อ การวางถาดสายไฟ ที่สัมพันธ์กับคาน–พื้นจริง
ทำไมต้องมี Shop Drawing?
เพราะในโลกจริง
โครงสร้างอาจขยับจากแบบนิดหน่อย
วัสดุที่ได้จริงอาจต่างจากที่ออกแบบเล็กน้อย
งานระบบหลายอย่างต้อง “ประสานกัน” ไม่ให้ชนกันเอง
Shop Drawing จึงเป็น “สะพาน” ระหว่าง
แบบก่อสร้าง (โลกบนกระดาษ)กับงานหน้างานจริง (โลกไซท์งาน)
ปกติขั้นตอนคือ
ผู้รับเหมา/ร้านผลิต ทำ shop drawing
ส่งให้ผู้ออกแบบ/วิศวกรตรวจ
แก้ไขตามคอมเมนต์
ได้รับอนุมัติ (Approved for construction)
ค่อยนำไปผลิต–ติดตั้งจริง
3. As-built Drawing – “แบบที่สร้างไปแล้วจริง ๆ”
หลังจากก่อสร้างเสร็จหลายโครงการจะมี Checklist ว่า
“ขอแบบ As-built ด้วยนะครับ”
As-built Drawing คืออะไร?
As-built Drawing คือ
แบบที่ปรับแก้จาก “แบบก่อสร้าง/Shop drawing”ให้ตรงกับ สภาพที่สร้างจริง หลังงานจบแล้ว
พูดง่าย ๆ คือสุดท้ายแล้วหน้าไซต์งานก่อสร้างออกมาเป็นยังไง → As-built ต้องวาดให้ตรงแบบนั้น
ตัวอย่างข้อมูลใน As-built
ตำแหน่งผนังที่มีการขยับเล็กน้อยจากแบบเดิม
ขนาดช่องเปิดประตู–หน้าต่างที่แก้ไขหน้างาน
Layout ท่อไฟ ท่อประปา จุดปลั๊ก จุดสวิตช์ ที่เปลี่ยนจากแบบเดิม
บางโครงการจะระบุยี่ห้อ/รุ่นของอุปกรณ์จริงที่ใช้ไปด้วย (สำหรับงานระบบ)
ทำไม As-built สำคัญมาก?
ใช้สำหรับซ่อมบำรุงในอนาคต (Maintenance)
อยากเจาะผนัง แต่ไม่รู้ว่าท่อ/สายไฟเดินอยู่ตรงไหน → เปิด As-built ดู
อยากต่อเติม เดินท่อเพิ่ม → รู้จุดต่อ จุดวาวล์จาก As-built
ใช้สำหรับตรวจสอบงานว่า “สร้างตรงแบบที่อนุมัติหรือไม่”
บางโครงการใช้ As-built เป็นส่วนหนึ่งของเอกสารปิดงาน
ใช้เป็นฐานข้อมูลในอนาคต
ถ้าต้อง Renovate หรือขยายโรงงาน
ผู้ออกแบบใหม่จะใช้ As-built เป็นข้อมูลตั้งต้น
สรุปง่าย ๆ
แบบก่อสร้าง = ตั้งใจจะสร้างอะไรShop drawing = จะสร้าง/ผลิตยังไงจริงAs-built = สุดท้ายแล้วสร้างออกมาได้แบบไหนกันแน่
4. เปรียบเทียบให้เห็นภาพ
เอกสาร | ใครเป็นคนทำหลัก ๆ | ใช้เมื่อไหร่ | ใช้ทำอะไรหลัก ๆ |
แบบก่อสร้าง | สถาปนิก / วิศวกรผู้ออกแบบ | ก่อนเริ่มงาน–ช่วงประมูล | ออกแบบ, ขออนุญาต, ทำราคากลาง, ว่าจ้าง |
Shop Drawing | ผู้รับเหมา / ผู้รับเหมาช่วง | ก่อนผลิต–ติดตั้งงานแต่ละส่วน | แสดงวิธีผลิต–ติดตั้งจริง, ขออนุมัติหน้างาน |
As-built Drawing | ผู้รับเหมา (ร่วมกับวิศวกร) | หลังสร้างเสร็จ / ตอนปิดงาน | บันทึกของจริงที่สร้าง, ใช้ซ่อม/ปรับปรุงในอนาคต |
5. สำหรับเจ้าของงาน / ผู้รับเหมา: ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่งจะเป็นยังไง?
ถ้ามีแบบก่อสร้าง แต่ไม่มี Shop Drawing
งานยากขึ้นสำหรับผู้รับเหมา
เสี่ยงแก้หน้างานเยอะ
มักเจอปัญหา “ชนกันเอง” ระหว่างโครงสร้าง–ระบบ
วิศวกรตรวจงานลำบาก เพราะไม่มีแบบละเอียดให้เทียบ
ถ้ามี Shop Drawing แต่ไม่มี As-built
ตอนสร้างอาจทำงานง่ายขึ้นก็จริง
แต่พออีก 3–5 ปีอยากเจาะผนัง เดินท่อเพิ่ม ย้ายปลั๊ก→ ไม่มีใครรู้เลยว่า “สรุปตอนนั้นสร้างจริงไว้ยังไง”
ถ้าไม่มีทั้ง Shop และ As-built เลย
หน้างานต้องใช้ “ประสบการณ์ช่าง” แทน “ระบบ–เอกสาร”
เจ้าของงานและวิศวกร “มองไม่เห็น” สิ่งที่เกิดขึ้นจริงแบบเป็นระบบ
เวลาเกิดปัญหาในอนาคต เช่น รั่ว ร้าว ไฟดับ ท่อแตก→ ต้องใช้วิธี “เดา” หน้างาน มากกว่า “เปิดแบบแล้วแก้ให้ตรงจุด”
6. สรุปแบบภาษาคนหน้างาน
ลองจำง่าย ๆ แบบนี้ครับ
แบบก่อสร้าง
คือ แบบตั้งต้น – ใช้คิด, ใช้คุย, ใช้ประมูล, ใช้ขออนุญาต
Shop Drawing
คือ แบบสำหรับทำงานจริง – จะผลิต–ติดตั้งยังไง? หลบอะไร? ใช้อะไรยึด?
As-built Drawing
คือ แบบที่เล่าว่า สุดท้ายแล้วเราสร้างอะไรทิ้งไว้ให้เจ้าของงานจริง ๆ
สำหรับโครงการที่อยาก “ทำให้เป็นระบบ”
การมีทั้ง 3 แบบครบถ้วนเป็นการลงทุนกับ “ข้อมูลของอาคาร” ที่จะอยู่กับเจ้าของงานไปอีกหลายสิบปีครับ






ความคิดเห็น