top of page
ค้นหา

แบบก่อสร้าง, Shop Drawing และ As-built Drawing คืออะไร?

เอกสาร 3 ตัวนี้ต่างกันยังไงในงานก่อสร้าง

เวลาเริ่มต้นทำโครงการก่อสร้างบ้าน อาคาร โรงงาน หรือโกดังสักหนึ่งงานเรามักได้ยินคำว่า

  • “แบบก่อสร้าง”

  • “Shop drawing”

  • “As-built drawing”

คำถามคือ…สามตัวนี้ต่างกันยังไง? จำเป็นต้องมีครบไหม? ถ้าไม่มีอย่างใดอย่างหนึ่งจะเกิดอะไรขึ้น?

บทความนี้จะพาไล่ทีละตัวแบบง่าย ๆ ในมุมของเจ้าของงาน–ผู้รับเหมา–วิศวกรครับ

1. แบบก่อสร้าง (Construction Drawing) – “แบบแม่” ของโครงการ

แบบก่อสร้าง คือ แบบที่สถาปนิก / วิศวกรผู้ออกแบบจัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็น “แผนแม่บท” ให้ทุกฝ่ายยึดถือร่วมกัน ตั้งแต่

  • ขออนุญาตก่อสร้าง

  • คำนวณโครงสร้าง

  • ถอดปริมาณ ประมูลงาน

  • ใช้เป็นหลักในการว่าจ้างผู้รับเหมา

ลักษณะของแบบก่อสร้างทั่วไปจะมี เช่น

  • แบบสถาปัตย์ (แปลน รูปด้าน รูปตัด รายละเอียดประตู–หน้าต่าง)

  • แบบโครงสร้าง (เสา คาน พื้น ฐานราก เหล็กเสริม)

  • แบบระบบ (ไฟฟ้า ประปา สุขาภิบาล แอร์ ฯลฯ – แล้วแต่โครงการ)

หน้าที่หลักของแบบก่อสร้าง

เป็น “ภาพใหญ่” ของโครงการ ว่าจะสร้างอะไร ขนาดเท่าไหร่ หน้าตาแบบไหนแต่ยังไม่ลงรายละเอียดจุกจิกหน้างานทุกจุด

จะเรียกว่าเป็น “แบบระดับออกแบบ” มากกว่า “แบบระดับผลิต/ติดตั้ง” ก็ได้

2. Shop Drawing – แบบละเอียดสำหรับ “ผลิต–ติดตั้งจริง”

พอถึงขั้นตอนจะเริ่มก่อสร้างจริงแบบก่อสร้างมักยัง “หยาบเกินไป” สำหรับการผลิต–ติดตั้งบางอย่าง เช่น

  • งานโครงสร้างเหล็ก

  • งานคอนกรีตเสริมเหล็กบางจุดที่ต้องแก้ไขวิธีหน้างาน

  • งานระบบไฟ–ประปา–แอร์ ที่ต้องเดินหลบโครงสร้างจริง

  • งานผนัง ฝ้า เพดาน บิ้วท์อิน เฟอร์นิเจอร์ ฯลฯ

จึงต้องมีสิ่งที่เรียกว่า Shop Drawing หรือ “แบบสำรวจหน้างาน + แบบผลิต/ติดตั้ง”

Shop Drawing คืออะไร?

คือแบบที่ผู้รับเหมา / ผู้รับเหมาช่วง / ผู้ผลิตจัดทำขึ้นจาก “แบบก่อสร้าง + สภาพหน้างานจริง”เพื่อแสดงรายละเอียดว่า จะผลิตและติดตั้งงานนั้นจริง ๆ ยังไง

ตัวอย่างสิ่งที่มักอยู่ใน Shop Drawing

  • ขนาดจริงหลังวัดไซต์ (Clear dimension)

  • ตำแหน่งรู เจาะ ยึด น็อต แผ่นเพลท

  • รายละเอียดต่อชน ระดับสูงต่ำ

  • วิธีบากเหล็ก วิธีดัดเหล็ก วิธีจัด Layout เหล็ก

  • รายละเอียดการเดินท่อ การวางถาดสายไฟ ที่สัมพันธ์กับคาน–พื้นจริง

ทำไมต้องมี Shop Drawing?

เพราะในโลกจริง

  • โครงสร้างอาจขยับจากแบบนิดหน่อย

  • วัสดุที่ได้จริงอาจต่างจากที่ออกแบบเล็กน้อย

  • งานระบบหลายอย่างต้อง “ประสานกัน” ไม่ให้ชนกันเอง

Shop Drawing จึงเป็น “สะพาน” ระหว่าง

แบบก่อสร้าง (โลกบนกระดาษ)กับงานหน้างานจริง (โลกไซท์งาน)

ปกติขั้นตอนคือ

  1. ผู้รับเหมา/ร้านผลิต ทำ shop drawing

  2. ส่งให้ผู้ออกแบบ/วิศวกรตรวจ

  3. แก้ไขตามคอมเมนต์

  4. ได้รับอนุมัติ (Approved for construction)

  5. ค่อยนำไปผลิต–ติดตั้งจริง

3. As-built Drawing – “แบบที่สร้างไปแล้วจริง ๆ”

หลังจากก่อสร้างเสร็จหลายโครงการจะมี Checklist ว่า

“ขอแบบ As-built ด้วยนะครับ”

As-built Drawing คืออะไร?

As-built Drawing คือ

แบบที่ปรับแก้จาก “แบบก่อสร้าง/Shop drawing”ให้ตรงกับ สภาพที่สร้างจริง หลังงานจบแล้ว

พูดง่าย ๆ คือสุดท้ายแล้วหน้าไซต์งานก่อสร้างออกมาเป็นยังไง → As-built ต้องวาดให้ตรงแบบนั้น

ตัวอย่างข้อมูลใน As-built

  • ตำแหน่งผนังที่มีการขยับเล็กน้อยจากแบบเดิม

  • ขนาดช่องเปิดประตู–หน้าต่างที่แก้ไขหน้างาน

  • Layout ท่อไฟ ท่อประปา จุดปลั๊ก จุดสวิตช์ ที่เปลี่ยนจากแบบเดิม

  • บางโครงการจะระบุยี่ห้อ/รุ่นของอุปกรณ์จริงที่ใช้ไปด้วย (สำหรับงานระบบ)

ทำไม As-built สำคัญมาก?

  1. ใช้สำหรับซ่อมบำรุงในอนาคต (Maintenance)

    • อยากเจาะผนัง แต่ไม่รู้ว่าท่อ/สายไฟเดินอยู่ตรงไหน → เปิด As-built ดู

    • อยากต่อเติม เดินท่อเพิ่ม → รู้จุดต่อ จุดวาวล์จาก As-built

  2. ใช้สำหรับตรวจสอบงานว่า “สร้างตรงแบบที่อนุมัติหรือไม่”

    • บางโครงการใช้ As-built เป็นส่วนหนึ่งของเอกสารปิดงาน

  3. ใช้เป็นฐานข้อมูลในอนาคต

    • ถ้าต้อง Renovate หรือขยายโรงงาน

    • ผู้ออกแบบใหม่จะใช้ As-built เป็นข้อมูลตั้งต้น

สรุปง่าย ๆ

แบบก่อสร้าง = ตั้งใจจะสร้างอะไรShop drawing = จะสร้าง/ผลิตยังไงจริงAs-built = สุดท้ายแล้วสร้างออกมาได้แบบไหนกันแน่

4. เปรียบเทียบให้เห็นภาพ

เอกสาร

ใครเป็นคนทำหลัก ๆ

ใช้เมื่อไหร่

ใช้ทำอะไรหลัก ๆ

แบบก่อสร้าง

สถาปนิก / วิศวกรผู้ออกแบบ

ก่อนเริ่มงาน–ช่วงประมูล

ออกแบบ, ขออนุญาต, ทำราคากลาง, ว่าจ้าง

Shop Drawing

ผู้รับเหมา / ผู้รับเหมาช่วง

ก่อนผลิต–ติดตั้งงานแต่ละส่วน

แสดงวิธีผลิต–ติดตั้งจริง, ขออนุมัติหน้างาน

As-built Drawing

ผู้รับเหมา (ร่วมกับวิศวกร)

หลังสร้างเสร็จ / ตอนปิดงาน

บันทึกของจริงที่สร้าง, ใช้ซ่อม/ปรับปรุงในอนาคต

5. สำหรับเจ้าของงาน / ผู้รับเหมา: ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่งจะเป็นยังไง?

ถ้ามีแบบก่อสร้าง แต่ไม่มี Shop Drawing

  • งานยากขึ้นสำหรับผู้รับเหมา

  • เสี่ยงแก้หน้างานเยอะ

  • มักเจอปัญหา “ชนกันเอง” ระหว่างโครงสร้าง–ระบบ

  • วิศวกรตรวจงานลำบาก เพราะไม่มีแบบละเอียดให้เทียบ

ถ้ามี Shop Drawing แต่ไม่มี As-built

  • ตอนสร้างอาจทำงานง่ายขึ้นก็จริง

  • แต่พออีก 3–5 ปีอยากเจาะผนัง เดินท่อเพิ่ม ย้ายปลั๊ก→ ไม่มีใครรู้เลยว่า “สรุปตอนนั้นสร้างจริงไว้ยังไง”

ถ้าไม่มีทั้ง Shop และ As-built เลย

  • หน้างานต้องใช้ “ประสบการณ์ช่าง” แทน “ระบบ–เอกสาร”

  • เจ้าของงานและวิศวกร “มองไม่เห็น” สิ่งที่เกิดขึ้นจริงแบบเป็นระบบ

  • เวลาเกิดปัญหาในอนาคต เช่น รั่ว ร้าว ไฟดับ ท่อแตก→ ต้องใช้วิธี “เดา” หน้างาน มากกว่า “เปิดแบบแล้วแก้ให้ตรงจุด”


6. สรุปแบบภาษาคนหน้างาน

ลองจำง่าย ๆ แบบนี้ครับ

  • แบบก่อสร้าง

    คือ แบบตั้งต้น – ใช้คิด, ใช้คุย, ใช้ประมูล, ใช้ขออนุญาต

  • Shop Drawing

    คือ แบบสำหรับทำงานจริง – จะผลิต–ติดตั้งยังไง? หลบอะไร? ใช้อะไรยึด?

  • As-built Drawing

    คือ แบบที่เล่าว่า สุดท้ายแล้วเราสร้างอะไรทิ้งไว้ให้เจ้าของงานจริง ๆ

สำหรับโครงการที่อยาก “ทำให้เป็นระบบ”

การมีทั้ง 3 แบบครบถ้วนเป็นการลงทุนกับ “ข้อมูลของอาคาร” ที่จะอยู่กับเจ้าของงานไปอีกหลายสิบปีครับ
ree
ree

 
 
 

ความคิดเห็น


© 2020 D Pat Town โทร 062-293-7949 ดีพัฒทาวน์

bottom of page